เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๔ ก.พ. ๒๕๖๒

เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมๆ ฟังธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นคว้ามา เป็นผู้แสวงหามา เป็นผู้กระทำมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้เป็นกษัตริย์นะ สามเณรราหุลเกิดแล้ว เวลาท่านละล้าละลัง ละล้าละลังระหว่างว่าจะออกบวชเพื่อแสวงหาสัจธรรม แต่ในหัวใจมันก็คร่ำครวญนะ เพราะว่าคนธาตุดี ธาตุดีธาตุที่รับผิดชอบสูง ความที่รับผิดชอบสูงมันทิ้งภาระไปไม่ได้

แต่ในเมื่อสัจจะความจริงในหัวใจมันมีความทุกข์กดดันในหัวใจ เห็นไหม คำว่า ละล้าละลัง” ความกดดันในหัวใจมันกดดันขนาดไหน เวลาเสียสละสิ่งนั้นไปๆ ถ้าเสียสละสิ่งนั้นไป ไปค้นคว้าอยู่ ๖ ปี คำว่า ๖ ปี” มุมานะ มีความมานะบากบั่นพยายามขนาดไหน มันก็เป็นการพยายามแบบโลกๆ ไง คำว่า พยายามแบบโลกๆ” ก็เหมือนที่เรากำลังประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี่ไง

เวลาที่เรากำลังประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี้เราก็ขวนขวาย เราก็พยายามของเราด้วยความสุดกำลังของเรา แต่เรามีอวิชชา เรามีความไม่รู้ในหัวใจของเราไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาออกจากราชวังไปน่ะ ในเมื่อยังไม่รู้ธรรม ยังไม่มีสัจธรรมในหัวใจ มันก็มีความกดดัน มีความทุกข์ยากไปทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาถึงที่สุดแห่งทุกข์ เวลาถึงที่สุดแห่งทุกข์ อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแล้ว นั่นน่ะวิมุตติสุขๆ ความสุขอย่างนั้นไง ความสุขอย่างนั้นก็อยู่ในร่างเดิมของเจ้าชายสิทธัตถะนั่นแหละ มันก็อยู่ในร่างเดิมของมนุษย์นี่แหละ

มนุษย์คนคนหนึ่งมันมีความทุกข์ความยากกดดันในหัวใจ เห็นไหม มนุษย์คนหนึ่งพ้นจากทุกข์ไปน่ะ ในหัวใจนั้นมีแต่ธรรมธาตุทั้งนั้น มันมีแต่ความสุข วิมุตติสุขๆ ในหัวใจดวงนั้นไง

ที่เราแสวงหากันๆ ที่เรามาฟังธรรมๆ เพราะเหตุนี้ไง เราฟังธรรมกันเพื่อมีสัจธรรมในหัวใจ ถ้ามีสัจธรรมในหัวใจ เห็นไหม

คนเราปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์กันทั้งสิ้น ทุกคนปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทั้งสิ้น แต่ความสุขของคนๆ ความสุขการแสวงหา ความสุขประสบความสำเร็จในชีวิต ความสุขต่างๆ มันเป็นความสุขชั่วคราว ความสุขชั่วคราวทั้งนั้น มันไม่ยั่งยืน ไม่ยั่งยืนเพราะอะไร

ไม่ยั่งยืน ในระบบเศรษฐกิจ เขาบอกว่า อย่างมากก็สามชั่วอายุคน การดำรงอยู่ได้ รุ่นที่สามนั่นน่ะจะเสื่อมสภาพไป ในทางวิชาการเขายังรู้ได้ว่ามันไม่ยั่งยืนไม่แน่นอน ไม่ยั่งยืน ความไม่ยั่งยืนมันชั่วคราวๆ ทั้งนั้นน่ะ แต่เพราะความด้อยวุฒิภาวะของเราไง เราว่าอย่างนี้เป็นความสุขๆ เราก็แสวงหากันไง

เวลามาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วยังจะประพฤติปฏิบัตินะ เราประพฤติปฏิบัติก็ด้วยความมุ่งหวังความเห็นของเรา

เพราะเวลาหลวงตาท่านพูด ท่านพูดถึงเปรียบเทียบในอุดมคติในความเห็นของท่าน เวลาท่านออกบวช เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โอ้โฮ! คนเราเกิดเป็นเทวดา อยากจะเป็นเทวดา นี่การศึกษาโดยพื้นฐาน

เวลาศึกษาไป โอ๋ย! พรหมมันดีกว่า คำว่า พรหมมันดีกว่า” พรหมอายุยืนกว่า พรหมมันประณีตกว่า ก็อยากจะเกิดเป็นพรหม ถ้าอยากเกิดเป็นพรหม เราก็พยายามสร้าง พยายามแสวงหาสิ่งที่เหตุ เหตุทำให้เป็นพรหมๆ ไง

แต่เวลาศึกษาไป อ้าว! นิพพานดีกว่า นี่ไง เวลาคนที่มันพัฒนา ความเห็นของคนมันพัฒนาขึ้นเป็นชั้นๆ ขึ้นไป

นี่ก็เหมือนกัน เราศึกษามาๆ เราเข้าใจของเรา คือความเข้าใจ ไม่ใช่ความจริงหรอก เราเข้าใจว่านิพพานมันสุขอย่างยิ่งๆ วิมุตติสุขมันสุขอย่างยิ่ง แล้วสุขอย่างไรล่ะ มันสุขอย่างไร

นี่เวลาเราคิดของเรามันเป็นสัญญาอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดเป็นอามิสของชั่วคราว เรามีความคิดมีความปรารถนาสิ่งใดเราก็พยายามทำให้สมความปรารถนานั้น เวลาสมความปรารถนา อารมณ์ความรู้สึก เห็นไหม

อารมณ์ อารมณ์ทั้งนั้นน่ะเป็นอามิส เวลาทำความสงบของใจ ทำความสงบของใจเข้ามา ใจมันสงบเข้ามามันวางอารมณ์เข้ามา เพราะสัมมาสมาธิ จิตเป็นหนึ่งเดียวไม่พาดพิงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น

คำว่า ไม่พาดพิงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น” มันเป็นหนึ่งในตัวของมัน นี่ธาตุรู้ ธาตุที่ดีงาม แต่เวลามันพาดพิงอารมณ์ๆ แล้วว่างๆ นี่อารมณ์หรือเปล่า ไอ้ว่างๆ ว่างๆ อารมณ์หรือเปล่า

ไอ้ว่างๆ เราก็ว่าง วันไหนทำงานเสร็จแล้วสบายใจ นั่งอยู่ก็ว่างๆ นะ เราพอใจไหม เออ! วันนี้มีความสุขเนาะ เออ! ว่างหมดเลย...นั่นอะไรน่ะ อารมณ์ทั้งนั้นน่ะ นี่ไง มาตรฐานของคนมันมีเท่านั้นเอง ความรู้สึกนึกคิดของคนมันมีเท่านั้นเอง มันไม่มีความสามารถรู้จริงได้

ถ้าความรู้จริงได้ สิ่งที่เราทำความจริงๆ ของเราเข้ามา สิ่งที่ว่าปรารถนาความสุขๆ ความสุขของใคร

อย่างเด็กเมื่อกี้มีความสุขมาก เวลามา เด็กน้อยนี่เป็นดาราเลย มันทำสิ่งใดมีคนปรบมือให้ มีความสุขมาก มันดีดดิ้นของมัน มันกระโดดโลดเต้นของมัน มีความสุขนะ นี่ความสุขของเขา

แต่พ่อแม่ล่ะ นี่ไง เวลามันร้องไห้แบมือน่ะ ควักให้มัน เราต้องเตรียมพร้อมไว้ยื่นให้มัน เวลามันมาร้องไห้แบมือ นี่ความสุขของเขา แล้วความสุขของเราล่ะ ความสุขของเรานะ เราอยากให้เขาเติมโตขึ้นมา อยากให้เขาเป็นคนดี อยากให้เขามีความสุข นี่ไง ความปรารถนาของเรา ถ้าความปรารถนาของเรา แล้วเขาเข้าใจได้หรือไม่

นี่ไง เวลาโรงเรียนอนุบาลเขาบอกเลยนะ พ่อแม่ที่เอาลูกไปส่งวันแรกต้องกลับ อย่าอยู่นะ มันร้องไห้คร่ำครวญ มันอยู่ไม่ได้หรอก หัวใจมันจะระเบิด ทั้งๆ ที่เราส่งไปเรียนนั่นน่ะ เราก็รู้อยู่ว่าข้างหน้ามันเป็นอย่างไร แต่ทำไมเราทุกข์เรายากล่ะ ทำไมเรามีความรู้สึกนึกคิดในหัวใจที่มันมากระทบหัวใจล่ะ

มันกระทบหัวใจเพราะความผูกพัน นี่ตัณหาความทะยานอยาก ทั้งๆ ที่เราก็คิดว่าดี เราก็ทำความดีของเรา

นี่ไง ทุกคนปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ แต่ความสุขของเรา ความสุขที่เราแสวงหากันอยู่นี้เราเข้าใจว่าเป็นความสุข ความสุขที่แท้จริง เวลาแท้จริงมันยังไม่ได้มีสิ่งใดเปรียบเทียบไง

แต่ถ้าเราเห็นนะ ในเมื่อสิ่งมีชีวิตมันต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย สิ่งมีชีวิตต้องมีอาหาร มีอากาศ มีต่างๆ สมบูรณ์ของมัน แล้วเวลาคนเรา เวลาเป็นพืช พืชมันไม่มีจิตวิญญาณ มันก็มีชีวิตเหมือนกัน

แล้วถ้าเรามีชีวิต มีจิตวิญญาณของเรา นี่จิตวิญญาณ เราเกิดเป็นมนุษย์ เรามีหูมีตาขึ้นมา เราเห็นมนุษย์เหมือนกัน เวลาจิตของเราที่สงบขึ้นไป บุพเพนิวาสานุสติญาณ จิตมันสงบแล้วมันไม่มีมิติ ถ้าไม่มีมิติ มันละเอียดลึกซึ้งขนาดไหน พอสงบแล้วจะไปภพชาติใดก็ได้ นี่ผลของวัฏฏะๆ คนที่มีกิเลส ฤๅษีชีไพรเขาก็เห็นได้ ฤๅษีชีไพรเขาก็ไปได้ ฤๅษีชีไพรเขาก็รู้นะ

ในสมัยพุทธกาลน่ะเขารู้ ดูสิ ดูที่ว่ากาฬเทวิล กาฬเทวิลเขาเป็นพราหมณ์ เขาทำฌานสมาบัติของเขา เขาไปนอนอยู่บนพรหมน่ะ เวลาเจ้าชายสิทธัตถะเกิด เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิด โลกธาตุจะหวั่นไหว เขานอนอยู่บนพรหมนะ โอ๋ย! โคลงเคลงเลย เอ๊ะ! อะไรเกิดขึ้น อ๋อ! พระพุทธเจ้าเกิดแล้ว พระพุทธเจ้าเกิดแล้ว ลงจากพรหมลงมา

เพราะเขาเป็นเพื่อนกับพระเจ้าสุทโธทนะ เขาเป็นเพื่อนกับพระเจ้าสุทโธทนะคือเขาเป็นมนุษย์ เขาเป็นพราหมณ์ แต่เขาสามารถทำของเขาได้ เขาทำของเขาได้ เขาไปนอนอยู่บนพรหมได้

ฉะนั้น ฤาษีชีไพรเขาระลึกอดีตชาติได้ นี่เขาระลึกของเขาได้เขาเห็นของเขาได้ แต่เขาเห็นของเขา ถ้านักบวชที่มีอำนาจวาสนาเขาทำของเขาได้ เขาก็ทำของเขาได้ แต่มันก็เป็นอภิญญาไง มันก็เป็นเรื่องโลกๆ นี่ไง มันเป็นเรื่องของวัฏฏะนี่ไง

เวลาลงมา พระเจ้าสุทโธทนะ ขอดู พอพระเจ้าสุทโธทนะให้มหาดเล็กเข็นออกมาให้ดู โอ้โฮ! ทั้งดีใจทั้งเสียใจ ดีใจเพราะอะไร ดีใจเพราะเขาเป็นพราหมณ์ เขาท่องอาการ ๓๒ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้หมด เพียะนี่คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน แล้วเขาก็จะเสียใจร้องไห้ ร้องไห้เพราะอะไร ร้องไห้เพราะเขาต้องตายก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ คือเขาไม่มีโอกาส

นี่ไง เขาระลึกอดีตได้ ๔๐ ชาติ อนาคตได้ ๔๐ ชาติ เขาระลึกได้นะ กาฬเทวิลระลึกได้ ในพระไตรปิฎกชัดๆ

พระพุทธเจ้าเกิดหรือยัง เจ้าชายสิทธัตถะ พระพุทธเจ้ายังไม่ได้เกิด เขาระลึกอดีตชาติได้ ๔๐ ชาติ อนาคตได้ ๔๐ ชาติ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ นี่ไง อดีตอนาคตไง แต่ศาสนาของเรามันยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ที่ว่าอาสวักขยญาณต่างหาก ทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างหาก มรรคมันเกิดที่นี่ ถ้ามันเกิดที่นี่ขึ้นมา เวลาทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ไง วิมุตติสุขไง สุขอันแท้จริงๆ ไง สุขอันแท้จริง เห็นไหม

เวลาเราประพฤติปฏิบัติเป็นสัมมาสมาธิมันก็มีความสุขอันหนึ่ง แล้วความสุขอันนี้ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี คำว่า จิตสงบไม่มี” มันหาซื้อที่ไหนไม่ได้ หาจากใครก็ไม่ได้ แล้วหาจากครูบาอาจารย์ก็ไม่ได้ มันต้องหาจากความเพียรของเรา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ

แล้วจิตมันสงบระงับเข้ามาเล็กน้อยๆ เข้ามา ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธิมันจะมีมากน้อยแค่ไหนมันรู้ของมันได้ ถ้ามันรู้ของมันได้โดยชัดเจน พอชัดเจนขึ้นมามันเกิดความผูกพัน มันเกิดความอยากได้ เห็นไหม ด้วยความอยาก ตัณหาซ้อนตัณหา

โดยธรรมชาติของเรา ทุกคนอยากเป็นคนดี ทุกคนอยากจะทำคุณงามความดีทั้งสิ้น เวลาไปทำสิ่งใดแล้วมันเป็นผลงานของเรามันก็ฝังใจ มันก็จะเอาอย่างนั้นอีก เห็นไหม ตัณหาซ้อนตัณหา พอตัณหาซ้อนตัณหา กิเลสที่มันพลิกแพลงขึ้นมามันยิ่งภาวนาได้แสนยาก กระอักเลือดเลยล่ะ เพราะอะไร

เพราะโดยธรรมชาติของเรา เราอยากได้อยากดี อยากสมความปรารถนาอยู่แล้ว แล้วไปเจอสิ่งใดต่างๆ พอมันเป็นบาทเป็นฐานขึ้นมาแต่มันยังไม่เป็นความจริงขึ้นมาก็อยากได้อย่างนี้ๆ คนที่ประพฤติปฏิบัติที่ไม่เคยได้อย่างนี้เลยก็ลงทุนลงแรงขึ้นมาโดยที่ไม่มีสิ่งใดล่อหลอก ทำโดยข้อเท็จจริงของมัน

เวลาข้อเท็จจริงของมัน เวลามันเป็นสัมมาสมาธิขึ้นมามันก็ฝังใจ โอ้โฮ! โอ้โฮ! จะเอาแบบนี้ จะเอาแบบนี้ จะเอาแบบนี้...แล้วก็เอาไปเถอะ จนตาย ไม่ได้ ตัณหาซ้อนตัณหา ความอยากซ้อนความอยากไง

เขาต้องวาง ตั้งเป้าหมายไว้ เป้าหมายว่า เราจะทำความสงบของใจ เราจะทำสัมมาสมาธิ ทำความสงบของใจเพื่ออะไร เพื่อตัวตนของเรา

จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตนี้เป็นผู้เกิด เพราะจิตนี้เป็นผู้เกิด เกิดในไข่ เกิดในครรภ์ เกิดในโอปปาติกะ นี่เวลากำเนิด ๔ จิตนี้เป็นผู้เกิด เวลามันจะแก้ จิตมันก็ต้องแก้ที่ตัวมัน ถ้าจิตแก้ที่ตัวมัน มันถึงจะเป็นการแก้จริง มันถึงจะเป็นมรรคจริง

แต่เป็นความคิดๆ แบบเรา เราเกิดได้เป็นมนุษย์แล้วนะ เราเกิดได้เป็นมนุษย์แล้ว มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มนุษย์มีความรู้สึกนึกคิด แล้วเราจะไปแก้กันที่ความรู้สึกนึกคิดนี่ไง เราไม่ได้แก้ที่จิต เพราะมันไม่ลงเข้าถึงจิต มันไม่ลงเข้าสู่ต้นเหตุ มันไม่เข้าสู่ข้อเท็จจริงอันนั้น

แต่พอเราเกิดเป็นมนุษย์นี่ มนุษย์มีสัญญาอารมณ์ มนุษย์มีความรู้สึกนึกคิดนี่ เราก็ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็เป็นความรู้สึกนึกคิด แล้วคิดเอาๆๆ ไง มันจะเป็นอย่างนั้นๆ แล้วก็สร้างภาพไง จินตมยปัญญา จินตนาการ นั่นไม่เป็นความจริง

ฉะนั้น ทำไมถึงต้องทำความสงบของใจเข้ามา ใจสงบแล้วมันจะมีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน ถ้ามีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน เหมือนคนน่ะ คนภายนอก คนภายนอก คนนอกบ้านเรา เขาทำความดีความชั่วก็เป็นเรื่องของเขา คนในบ้านของเรา ใครทำดีทำชั่วก็กระทบกระเทือนในบ้านของเรา ความรู้สึกนึกคิดในใจของเรา เราทำเสียเอง มันเป็นความดีความชั่วของเรา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเข้าสู่จิตๆ เข้าถึงตัวของเรา ถ้าเข้าถึงตัวของเรา เราทำสิ่งใดมันสะเทือนในหัวใจของเรา

ถ้าเรามีความรู้สึกนึกคิดสิ่งใด เรามีสัญญาอารมณ์ เราคาดหมายสิ่งใด เวลาจิตมันสงบแล้วถ้ามันเกิดปัญญาน่ะ ปัญญาที่มันเกิดขึ้นนะ อู้ฮู!

คำว่า อู้ฮู! อู้ฮู!” เลยนะ เพราะอะไร เพราะมันเป็นของของตน มันเกิดจากเรา ไม่ใช่เกิดจากตำรับตำรา เกิดจาตำรับตำรา ศึกษาแล้วมีความรู้อันหนึ่ง เข้าใจได้อันหนึ่ง เวลามันเกิดกับเรานะ โอ้โฮ!

แล้วถ้ามันไม่เกิดกับเรา เราคาดหมาย นี่สัญญา เขาว่า เป็นสัญญาหรือไม่ เป็นสัญญาหรือไม่”

เวลามันเกิดกับเราขึ้นมา เกิดแล้วมันซาบซึ้ง เกิดแล้วมันมหัศจรรย์ แล้วมันก็กลัวว่าเหมือนไปก๊อบปี้ เหมือนกับไปจำมาจากพระไตรปิฎก

เวลาจำมาจากพระไตรปิฎกมันก็เป็นเรื่องหนึ่ง เวลาจำมาจากพระไตรปิฎกเป็นแนวทาง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติศึกษาเป็นแนวทางเป็นวิชาการ วิชาการศึกษาไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติมันจะเกิดปฏิเวธ การปฏิบัตินั้นจะทำให้รู้แจ้ง ความรู้แจ้งอันนั้นน่ะ

เวลาเราศึกษามาเราก็รสชาติของมัน เราศึกษามาเป็นความจำ เป็นความสิ่งที่มหัศจรรย์ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็เอ้อเหอๆ เหมือนกันนะ เอ้อเหอๆ คือว่ามันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปรื้อค้นขึ้นมา นั่นเป็นทฤษฎี มันก็มีรสชาติอันหนึ่ง

แต่เวลาจิตเราสงบนะ พยายามหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ทำความสงบของใจเข้ามา มันเกิดปัญญา ปัญญาจะด้อยกว่านั้นด้วย เพราะปัญญาอย่างพวกเราเทียบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้หรอก ปัญญาอย่างเรามันเกิดขึ้นมา พอมันใช้ปัญญาของมันขึ้นมา มันเทียบมันเคียงขึ้นมาว่าไอ้นั่นมันเป็นอนิจจัง ไอ้นี่มันไม่ใช่ของเราต่างๆ มันจะเกิดความรู้สึกที่มหัศจรรย์มากกว่านี้ นี่คืออะไร

นี่คือปัญญาที่เกิดจากเราไง ปัญญาที่เกิดจากจิตไง ปัญญาที่เกิดจากจิตเป็นสมบัติของจิตดวงนั้นไง มันมีรสชาติกว่า เขาดูดดื่มกว่า มันเข้าถึงจิตดวงนั้นไง นี่คือการปฏิบัติบูชา มันเป็นภาวยามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา มหัศจรรย์มาก

แล้วพอมหัศจรรย์แล้วก็เอาอีกแล้ว อยากได้อีกแล้วๆ

ความอยากได้อยากดีนี่นะ มันเป็นสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต ว่าจะเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ สัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตเลย เพราะสัตว์มันก็ต้องหาอาหารมัน สัตว์มันก็ต้องขวนขวายของมันโดยธรรมชาติของมัน

นี่โดยธรรมชาติของมัน มันก็เลยเป็นอวิชชา เป็นความไม่รู้ เป็นกิเลสของเราไง เป็นสิ่งที่มันคอยบีบ คอยกีดคอยขวางในการปฏิบัติของเรา แล้วเราจะวางอย่างไร ปฏิบัติอย่างไร

นี่ไง มัชฌิมาปฏิปทามันมัชฌิมาปฏิปทาแบบนี้ มัชฌิมาปฏิปทาคือความพอดี ความสมดุล ความเข้ากันได้ระหว่างศีล สมาธิ ปัญญาโดยเข้ากันได้ด้วยอำนาจวาสนาของคน แล้วมันไม่เท่ากัน ไม่เท่ากันด้วยจริตนิสัย ด้วยดูสิ พระอรหันต์ ๘๐ องค์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งให้เป็นเอตทัคคะ ๘๐ ทาง คือความถนัดของคน ความคิดของคน ความต่างๆ มันไม่เหมือนกัน

เหมือนน้ำขุ่น น้ำใส น้ำโสโครก น้ำสกปรก น้ำสะอาด มันแตกต่างกัน ถ้าใจของเราเป็นน้ำสกปรก ใจของเราเป็นสิ่งที่มีแต่สารตะกั่ว เขาต้องรีไซเคิล พวกนี้พวกทำสมาธิยาก แต่ของเรา เราตกมาจากฟ้า ฝนตกมา โอ้โฮ! น้ำใส เห็นไหม ใจคนมันไม่เท่ากัน ต้นทุนไม่เท่ากัน กระทำไม่เท่ากัน มันถึงไม่เหมือนกัน แล้วจะทำอย่างไรก็แล้วแต่มันก็เป็นอำนาจวาสนาของคน เพราะอะไร

เพราะถ้าของเรามีแต่สารตะกั่ว มีแต่โลหะหนักในหัวใจของเรา แสดงว่าจิตใจของเรามันต่ำทราม เราก็ต้องพยายามของเรา พยายามของเราเพื่อให้มันสงบระงับได้ คือให้มาเป็นน้ำใสได้ ให้มาเป็นน้ำที่ใช้กินได้ใช้หล่อเลี้ยงได้ใช้ประโยชน์ได้ นี่ไง ถ้ามันทำของมัน มันมาจากไหน มันมาจากการกระทำของเรา

นี่ไง บุพเพนิวาสานุสติญาณ สิ่งที่เราเกิดมา เรานั่งกันอยู่นี่มันไม่ใช่เกิดมาในชาตินี้หรอก ชาตินี้ ใช่ เราเกิดจากพ่อจากแม่ของเราเป็นวิทยาศาตร์ขึ้นมา เราพิสูจน์กันที่นี่ แล้วมีชาติเดียวเท่านั้นแหละ ตายแล้วก็จบ นี่พูดถึงทางวิทยาศาสตร์

ถ้าทางธรรมๆ นะ มันจะไปวัดกันตรงนี้ วัดกันตรงนี้ ปฏิบัติง่าย ปฏิบัติยาก มีความรู้สึกนึกคิดดี มีความรู้สึกนึกคิดเลวทราม มีความรู้สึกนึกคิดต่างๆ แล้วคนทุกคนมันก็มีคิดดีคิดชั่วในหัวใจของมันทั้งนั้นน่ะ นี่คือผลของวัฏฏะ มันเปรียบเทียบได้หมด มันมีที่มาที่ไปหมด

พระพุทธศาสนาแจกแจงได้ทุกขั้นตอน พระพุทธศาสนาชี้ได้ทุกจุด ทุกกระเบียดที่มันเป็นขึ้นมา แล้วเราก็ต้องรู้เท่า เรามีสติปัญญามีการแยกแยะของเราเข้ามา แล้วมันพิจารณาของมันไป ถ้าจิตมันสงบแล้ว

จิตไม่สงบมันเป็นจินตนาการทั้งนั้นน่ะ มันเป็นจินตนาการ มันอยู่ข้างนอก มันอยู่ที่อารมณ์ความรู้สึก ไม่ใช่จิต

พอเข้าสู่จิตแล้วมันฝึกหัดใช้ปัญญา จิตเป็นสัมมาสมาธิ เวลาใช้ปัญญาขึ้นมาก็สังขารนั่นแหละ ก็ความคิด ความปรุง ความแต่งนั่นแหละ แต่มันมีสมาธิ มันมีเรา มันมีความมหัศจรรย์ในใจของเราเป็นเครื่องพิสูจน์ มหัศจรรย์มาก

นี่พูดถึงว่า ถ้าความสุขแท้ๆ ความสุขขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ออกจากราชวัง ๖ ปี ทุกข์ๆ ยากๆ ค้นคว้าพยายามขวนขวายเต็มที่ ถึงที่สุดแล้วนะ เรื่องโลกๆ เรื่องโลกๆ วางไว้กับโลก

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวิชชา ๓ บุพเพนิวาสานุสติญาณจุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ มรรค ๘ เกิดตรงนี้ มัชฌิมาปฏิปทาเกิดตรงนี้ เกิดตรงอาสวักขยญาณทำลายอวิชชาความไม่รู้แจ้งในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ให้พวกเราขวนขวาย ให้พวกเราประพฤติปฏิบัติ ใครทำได้จริง ใจดวงนั้นจะมีความสุขจริง

ไม่ใช่ความสุขจอมปลอม ความสุขที่กิเลสมันหลอกลวง ความสุขที่กิเลสมันปั้นให้

ถ้าความจริงเกิดขึ้นมามันเป็นปัตจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นคุณธรรมในใจดวงนั้น เอวัง